เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวเมื่อง Salisbury กับเพื่อนสองสามคน เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆที่มีพร้อมทุกอย่าง เหมาะสำหรับมาเดินเล่นในเมือง แถมมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของอังกฤษอยู่ใกล้ๆด้วย
ชื่่อของเมืองนี้อ่านว่า "Salts- bu- ry" ตามแบบคนท้องถิ่น ถ้าอ่านออกเสียงตรงตัวจะไม่มีใครรู้ว่าหมายถึงเมืองนี้ครับ
ผมเดินทางจากเมืองBournemouthโดยรถบัสประมาณสองชั่วโมงก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ในเมืองนี้มีสถานที่น่าสนใจมีอยู่สองที่หลักๆ นั่นคือ Salisbury Cathedral และ แหล่งช๊อป ของเมืองนี้ที่ไม่ต่างจากเมืองอื่นๆในประเทศนี้เลย ดังนั้นสถานที่ที่ผมตัดสินใจว่าจะไปเป็นอันดับแรกก็คือ Salisbury Cathedral ครับ สิ่งที่ดึงดูดใจให้ไปเที่ยวที่ Salisbury Cathedral ก็มี หอคอยที่สูงที่สุดในอังกฤษ ต้นฉบับของ Magna Carta กลุ่มอาคารที่อยู่บริเวณ Cathedral (Cathedral close ) นาฬิการะบบกลไกล Cloisters แท่นยื่นสำหรับนักร้องประสานเสียง และ นอกจากนี้ช่วงที่ผมไปมีการจัดแสดงศิลป SEAN HENRY SCULPTURE EXHIBITION IN SALISBURY CATHEDRALที่จัดวางรูปปั่นไว้ตามสถานที่ต่างๆภายในบิรเวณ Cathedral ด้วยครับ

ผมเดินจากสถานีรถบัสมุ่งตรงไปยังหอคอยที่เห็นแต่ไกล ระหว่างทางมีร้านค้าเยอะมากเหมือนกับเดินอยู่ในเมืองใหญ่ๆเลยทีเดียวแต่สิ่งที่เป็นจุดสังเกตุอย่างหนึ่งของเมืองนี้ก็คือร้านค้า ร้านอาหารจะถูกจัดวางไว้ในตึกอาคารเก่าๆได้อย่างลงตัว จึงทำให้เมืองนี้ดูมีกลิ่นอายของความเก่าแก่ที่เคล้าผสมอย่างลงตัวกับโลกยุคใหม่และนี้ก็คือหนึ่งเสน่าห์อันน่าหลงไหลของเมืองนี้
จากย่านการค้าในเมืองเดินผ่านประตูเมืองเก่าออกมาไม่กี่สิบเมตรก็จะเจอกับพื้นสนามหญ้า(The green)ที่ล้อมไปด้วยอาคารแบบโบราณที่ถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี ซึ่งอาคารเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ Cathedral close ซึ่งอดีตเคยเป็นอาคารสำนักงาน และบ้านพักของคนที่ทำงานในโบสถ์ วังของท่านบิชอป โรงเรียนและอื่นอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับ Cathedral ถ้าดูจากแผนที่ก็จะเห็นได้ว่า Cathedral close มีพื้นที่กว้างใหญ่มากกินพื้นที่โดยรอบของตัว Cathedral ทำให้นึกภาพของผังเมืองอังกฤษและบรรยายกาศเมื่อหลายร้อยปีก่อนครับ

เลยจากThe Greenไปอีกไม่ไกลก็จะเจอพระเอกของทริปนี้ Salisbury Cathedral จุดเด่นของที่คงหนีไม่พ้นหอคอยหรือ Spire ที่ตั้งสูงเสียดเหยีดขึ้นฟ้าถึง ๑๒๓ เมตร จนต้องแหงนดูคอตั้งบ่า เป็นspireที่สูงที่สุดในอังกฤษเลยนะครับ หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของหอคอยนี้ก็คือหอระฆังนั้นเองครับ เดินผ่านส่วนที่เรียกว่า West front ซึ่งเป็นประตูทางเข้าด้านหน้าและมีรูปแกะสลักของนักบุญต่างๆประดับไว้อย่างสวยงาม รูปสลักเหล่านี้ถูกทำขึ้นมาใหม่หลังจากของเดิมถูกทำลายจากสงครามไปในสงครามโลกครั้งที่สองครับ เดินเลยส่วนนี้ไปก็จะถึงประตูทางเข้าสู่ตัวCathedral ครับ เข้าใจว่าประตูใหญ่ตรงWest front คงจะเปิดใช้ในโอกาสสำคัญๆ ส่วนประตูทางเข้าในเวลาปกติก็จะเป็นประตูเล็กๆถัดมา


พอเดินเข้ามาก็จะพบกับ Cloisterหรือ พื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นพื้นที่พักผ่อนเฉพาะนักบวช โดนเป็นทางเดินเปิดโล่งมีหลังคาสร้างติดกับตัวCathedral เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสตรงกลางมีต้นไม้ใหญ่และสนามหญ้า Cloister ของที่นี้ยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในอังกฤษด้วยครับ และตามปกติแล้ว Cloisterจะถูกสร้างขึ้นบนฐานเดี่ยวกันกับตัวอาคารหลักแต่ที่นี้ถูกสร้างต่อเติมขึ้นภายหลังซึ่งถือว่าแหวกแนวจากของโบสถ์อื่นๆครับ
หลังจากเดินดู Cloister สักพักก็ได้เวลาเข้าไปดูความสวยงามด้านในCathedralแล้วครับ ค่าเข้าชมที่นี้ถือว่าไม่แพงครับ นักเรียนจ่ายแค่ ๔ ปอนด์ (ถ้าจำไม่ผิด) และที่นี้ยังมี tour พิเศษสำหรับคนที่อยากออกกำลังกายโดยการเดินขึ้นไปบนยอดหอคอยที่สูงที่สุดในอังกฤษด้วยครับ ราคาก็จะสูงขึ้นหน่อยแต่ก็คุ้มค่าสำหรับคนชอบภาพมุมสูงนะครับ ส่วนผมไม่ได้กลัวความสูงแต่กลัวการเดินขึ้นที่สูงๆครับ เหนื่อย !!!
ด้านใน Cathedral ตกแต่งด้วยเสาหินออ่นแล้วลวดลายตามแบบโบสถ์ ยุคกลางครับผมรู้สุกว่าที่นี้สวยกว่าวิหารหรือโบสถ์อื่นๆที่ผมเห็นมาในอังกฤษเลยนะครับ จุดสนใจที่พลาดไม่ได้ก็คงจะเป็น นาฬิกาโบราณ(ค.ศ. ๑๓๘๖)ที่ได้ชื่อว่าเป็นนาฬิกาโบราณเก่าแกที่สุดในโลกที่ยังคงทำงานได้ตามปกติผมเห็นแล้วนึกถึงเครื่องทอผ้าขึ้นมาทันทีเลยครับ
ต่อมาก็เป็น Font หรืออ่างน้ำมนต์ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. ๒๐๐๘ ออกแบบโดย William Pye เพื่อใช้ในพิธี ศีลจุ่ม ตัวอ่างเป็นรูปถ้ามองจากข้างบนดูเหมือนหัวน๊อตสี่แฉก น้ำจะไหลออกจากปลายทั้งสี่ด้านอย่างต่อเนื่อง มองดูการไหลของน้ำแล้วนับถือคนออกแบบจริงๆครับ คือรู้สึกว่าน้ำไหลลงจากปลายอ่างด้วยความเร็วที่ต่อเนื่องดูแล้วเหมือนมีพลังส่งออกมาจากกระแสน้ำจริงๆในความรู้สึกของผม รู้ได้เลยว่าเขาจงใจออกแบบส่วนปลายเพื่อให้การไหลของน้ำมีความพิเศษจากที่อื่นๆ
จากนั้นผมเดินดูรอบๆครับมีสิ่งที่น่าสนใจอีกเยอะแต่ผมดูผ่านๆเพราะตอนนี้ใจผมอยู่กับ เอกสารสำคัญชิ้นหนึ่งที่ผมเคยเรียนในวิชารัฐธรรมนูญตอนปี๑ที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในห้องถัดไป
เดินออกจากตัวอาคารใหญ่เลี้ยวซ้ายผมก็ได้มายืนตรงประตู้ทางเข้าของ Chapter House ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ ปี ค.ศ.๑๒๖๐ ซึ่งเป็นห้องที่มีความสวยงามอีกห้องหนึ่งโดยสร้างให้ตรงกลางมีเสาหินอ่อนสูงรับกับเพดานโดมที่ประดับด้วยลวดลายตามแบบยุคกลางอย่างสวยงามครับ ตรงขอบบนของกำแพงมีรูปสลักภาพคำสอนของศาสนาคริสต์ที่เรียนกว่า The Old Testament ที่ต้องสลักเป็นภาพก็เพราะคนสมัยก่อนอ่านหนังสือไม่ออกครับเลยต้อสอนกันด้วยภาพแบบนี้ ใน Chapter House ห้ามถ่ายรูปครับผมเลยไม่มีรูปมาฝาก
นอกจากความงามใน Chapter House แล้วที่นี้ยังเป็นที่ที่เก็บเอกสารที่สำคัญไว้เป็นอย่างดีครับ ถ้าใครเรียนกฎหมายก็คงจะคุ้นหูกันบ้างนะครับ สำหรับเอกสารที่เป็นบ่อเกิดของวิชา4หน่วยกิตชิ้นนี้ Magna Carta
Magna Carta มีที่มาจากภาษาละติน แปลว่า "กฎบัตรใหญ่" (Great Charter) บางครั้งก็เรียกว่า "กฎบัตรใหญ่แห่งอิสรภาพ แปลเป็นภาษาของเราได้ว่า มหากฎบัตรซึ่งถือได้ว่าเป็นที่มาของกฏหมายรัฐธรรมนูญเลยก็ว่าได้ครับถูกตราขึ้นในปี ค.ศ. ๑๒๑๕ โดยข้อตกลงระหว่าง พระสันตปาปา พระเจ้าจอห์นและคณะขุนนางอังกฤษ เพื่อลดความขัดที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น
ใครนึกไม่ออกลองดูหนังเรื่อง Robin Hood ปี๒๐๑๐ก็ได้ครับมีเรื่องราวเกี่ยวกับMagna Carta อยู่
ติดกับตัวอาคารหลักมีร้านอาหารและร้านค้าของที่ระลึกไว้คอยบริการด้วยครับ ใครสนใจเข้าไปชิมไปชมได้ครับ ร้านขายของที่ระลึกตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆทั่วอังกฤษก็จะมีสิงค้าคล้ายๆกันครับเปลี่ยนแต่โลโก้ เหมือนทำจากโรงงานเดียวกันเลยทีเดียว แต่งานฝีมือบางอย่างก็หาได้เฉพาะที่นะครับ ที่นี้ก็จะเป็น แยม ผ้าปูโต๊ะและ postcard ครับ
นอกจากงานศิลปของคนยุคกลางแล้วช่วงที่ผมไปมีการจัดแสดงงานศิลปรูปปั้นเหมือนคนขนาดใหญ่และเล็กว่าคนจริงแต่ไม่รู้ว่าทำไมไม่มีขนาดเท่าคนจริงๆ รูปปั่นถูกจัดวางไว้ตามถานที่ต่างๆในบริเวณไม่ว่าจะเป็นทางเดิน ทางเข้า ในสวนหรือแม้แต่ภายในวิหารเองก็มีเยอะแล้วจัดวางว้อย่างน่าสนใจ ดูอยู่ไกลๆเหมือนกับคนตัวจริงๆเลย
หลังจากเดินทั่วแล้วก็ได้เวลาอาหารกันแล้วครับผมเลือกที่จะเดินออกไปกินเมื้อเที่ยงร้านข้างนอกเพราะอยากเลือกอาหารแล้วอยากลองชิมรสชาติของร้านอาหารในท้องถิ่น ครับแต่ก็อย่างที่รู้กันครับ อาหารอังกฤษไม่แตกต่างกันเลยไม่ว่าอยู่ที่ไหน และผมคงจะยืนยังอีกครั้งครับว่าอาหารที่อังกฤษมีแต่อาหารจีนกับไทยเท่านั้นที่อร่อย
การมาเที่ยวเมือง Salisbury คงจะมีสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายๆที่นะครับ แต่ด้วยเวลาที่จำกัดผมเลยเที่ยวได้สองที่แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วครับ กับการที่ได้มาเห็นของโบราณที่มีศิลปสัมยใหม่สอดแทรกอยู่ เมืองน่ารักๆและมีเสน่ห์เมืองนี้ Salisbury
นอกจากเที่ยวในเมืองนี้แล้ว ยังมีทัวร์ Stonehenge ไว้คอยบริการที่สถานีรถบัส ไปกลับและเข้าชมใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงจากเมืองนี้ ราคาประมาณ๑๒-๑๒ ปอนด์ต่อคนครับ
Salisbury Cathedral มี Public service ดังนี้ครับ
วันจันทร์ถึงเสาร์
๐๗.๓๐ สวดมนต์เช้าเวลา
๑๗.๓๐ Chral Evensong (การบูชาพระเจ้าโดยการร้องเพลง)
วันอาทิตย์มีกิจกรรมเยอะกว่าครับโดยเริ่มที่
๘.๐๐ Holy Communion
๙.๑๕ Mattins
๑๐.๓๐ Sung Euchrist wight Sermon
๑๖.๓๐ Choral Evevsong
ตามลำดับครับ
เผื่อใครจะมาเที่ยวจะหรืออาจจะมาร่วมกิจกรรมของที่นี้ก็ได้นะครับ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามเว็บนี้ครับ
www.salisbury.org.uk