Friday, November 11, 2011

ประสบการณ์ขอวีซ่าสุดหิน(อิตาลี)



ประสบการณ์ขอวีซ่าสุดหิน(อิตาลี)

ก่อนไปอิตาลีอันดับแรกสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือวีซ่าอิตาลีครับ และการขอวีซ่าจากประเทศนี้ก็ขึ้นชื่อลือนามกันว่ายากสุดๆเรื่องมากที่สุดเยอะสุดๆ ในบรรดาประเทศในกลุ่มเชงเก้น และผมก็ได้เจอมากับตัวครับได้สัมพัสถึงความหลอนและเฮี้ยนของกฎระเบียบของที่นี้ จึงอยากจะขอเล่าประสบการณ์เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครหลายๆคนที่อยากลองขอวีซ่าจากที่นี้ครับ

สถานที่ขอวีซ่าก็จะเป็นที่เดียวกันกับของประเทศอื่นๆคืออยู่ตรงย่านSOHOบนถนน Oxford Street (51.514371,-0.131529 ลองหาในGoogle map ดู สำนักงานอยู่สุดซอย) ที่ๆเดี่ยวมีสำนักงานทำเรื่องวีซ่าหลายๆประเทศรวมกัน เลยทำให้จำนวนคนเยอะอย่างหนีกันไม่พ้น แต่ด้วยระบบการจัดการที่ดีของที่นี้ทำให้มีการนัดคิวทางอินเตอร์เน็ตและทำให้การมาติดต่อที่นี้สะดวกและไม่มีปัญหามากนักครับ 

แต่ว่าปัญหาส่วนใหญ่เลยคงจะเกี่ยวกับเรื่องเอกสารที่เอามาแสดงให้กับเจ้าหน้าที่ เพราะบางครั้งเอกสารสำคัญที่ต้องใช้ก็มีรายละเอียดแตกต่างจากข้อกำหนดของประเทศอื่นๆและเว็บก็มีหลายเว็บข้อมูลเยอะจนไม่รู้ว่าอันไหนเป็นอันไหน จึงทำให้หลายๆคนต้องเสียเวลากลับไปกลับมาอยู่หลายรอบเหมือนผมครับ

อีกเรื่องที่ต้องดูก็คือที่อยู่ของเราอยู่ในเขตที่มีสิทธิยื่นขอวีซ่าหรือเปล่าคือ สำนักงานวีซ่าของอิตาลีจะมีอยู่ในเมืองๆหลักครับเช่น London, Manchester, Cardiff  ปกติแล้วใครอยู่ใกล้ที่ไหนก็ไปขอที่นั้นแต่จะมีข้อยกเว้นสำหรับคนที่มีที่อยู่ในบางพื้นที่ เช่น North of England หรือ North of Wales ต้องยื่นขอวีซ่าที่ Manchester เท่านั้นครับ ดูข้อมูลเพิ่มได้ที่เว็บด้านล่าง ตรงช่อง Visa Appointment Procedure ครับ http://www.visasforindians.com/ItalyinUK.html

การขอวีซ่าของผมมีปัญหาอยู่สองอย่างครับคือ หนึ่งผมเป็นนักเรียนต่างชาติที่เรียนในประเทศอังกฤษการจะขอวีซ่าต้องมีใบรับรองสถานะนักศึกษา ปกติแล้วเอกสารฉบับนี้จะขอได้จากฝ่ายธุระการได้ครับไม่ยากแต่ที่มีปัญหาก็คือทางสำนักงานวีซ่าของอิตาลีออกระเบียบไว้ว่า มันต้องมีอะไรพิเศษกว่าการขอวีซ่าของประเทศอื่นๆครับ คือ ตรงหัวกระดาษต้องระบุไว้ชัดเจนว่าใบรับรองสถานะนักศึกษาออกให้กับ “The Consulate General of Italy” โดยตรงและเอกสารจะต้องมีลายมือชื่อของผมที่มีอำนาจเซ็นต์ซึ่งมีชื่อระบุไว้ในในเอกสาร หมายความว่าจะให้เลขาเซนต์แทนไม่ได้ ขอมูลดูเพิ่มในเว็บนี้ครับ   http://www.visasforindians.com/ItalyinUK.html

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ผมเจอก็คือ เอกสารการจองสายการบินหรือเอกสารอื่นๆที่ปริ้นออกมาจากอีเมล์หรือเว็บต้องมี web address
ปริ้นติดมาด้วยตรงขอบกระดาษด้านบนและด้านล่าง แบบนี้ครับ

                                                                 ++++++++++++++++++++++++++++++++++




ผมนั่งรถไฟกลับไปกลับมาอยู่สามครั้งกว่าจะยื่นเอกสารได้สำเร็จและรอบสุดท้ายที่ยื่นไปใบรับร้องสถานะนักศึกษาก็ไม่มีลายเซนต์ของหัวหน้าฝ่ายแถมยังระบุชื่อสำนักงานวีซ่าผิดอีก ผมก็เลยไม่ค่อยมั่นใจว่าจะได้วีซ่ามาหรือเปล่า

อีกอย่างที่ทำให้ผมร้อนใจในเรื่องเอกสารก็คือระยะเวลาของการพิจารณาเอกสารที่เร็วผิดปกติ  ผมยื่นเอกสารไปวันศุกร์ผ่านไปแค่วันเดียวทางสำนักงานส่งอีเมล์มาบอกว่าให้ไปรับพาสปอร์ดคืนได้แล้ว คำนวนดูใช้เวลายังไม่ถึง๔๘ ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ดูในเว็บสถานะของวีซ่าก็ไม่บอกว่าผ่านไม่ผ่านบอกแค่ว่าให้ไปรับได้หรือยัง ผมเลยเตรียมใจไปก่อนแล้วครับว่า คงไม่ได้แน่ๆ วันจันทร์ผมก็เข้าไปลอนดอนเพื่อไปรับพาสปอร์ดคือตอนนั่งรอนี้เหงื่อตกเลยครับลุ้นมากๆ จนแล้วจนรอดก็ได้พาสปอร์ดมาอยู่ในมือ เปิดออกดูก็รู้สึกโล่งครับ เพราะได้วีซ่ามา ๑๕วัน แม้ว่าจะน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบกับราคาเกือบ๘๐ปอนด์ แต่ก็ยังดีที่ได้ไปเที่ยวอิตาลี 

ใครที่วางแผนไปเที่ยวอิตาลีก็ยื่นเอกสารไว้ล่วงหน้านานสักหน่อยก็ดีนะครับจะได้สะบายใจไม่ต้องรอลุ้นเอาในช่วงวินาทีสุดท้ายเหมือนผม


Tuesday, September 6, 2011

เสน่ห์เมืองเก่าที่ "Salisbury"



เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวเมื่อง Salisbury กับเพื่อนสองสามคน เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆที่มีพร้อมทุกอย่าง เหมาะสำหรับมาเดินเล่นในเมือง แถมมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของอังกฤษอยู่ใกล้ๆด้วย
ชื่่อของเมืองนี้อ่านว่า "Salts- bu- ry" ตามแบบคนท้องถิ่น ถ้าอ่านออกเสียงตรงตัวจะไม่มีใครรู้ว่าหมายถึงเมืองนี้ครับ
ผมเดินทางจากเมืองBournemouthโดยรถบัสประมาณสองชั่วโมงก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ในเมืองนี้มีสถานที่น่าสนใจมีอยู่สองที่หลักๆ นั่นคือ Salisbury Cathedral และ แหล่งช๊อป ของเมืองนี้ที่ไม่ต่างจากเมืองอื่นๆในประเทศนี้เลย ดังนั้นสถานที่ที่ผมตัดสินใจว่าจะไปเป็นอันดับแรกก็คือ Salisbury Cathedral ครับ สิ่งที่ดึงดูดใจให้ไปเที่ยวที่ Salisbury Cathedral ก็มี หอคอยที่สูงที่สุดในอังกฤษ ต้นฉบับของ Magna Carta กลุ่มอาคารที่อยู่บริเวณ Cathedral (Cathedral close ) นาฬิการะบบกลไกล Cloisters แท่นยื่นสำหรับนักร้องประสานเสียง และ นอกจากนี้ช่วงที่ผมไปมีการจัดแสดงศิลป SEAN HENRY SCULPTURE EXHIBITION IN SALISBURY CATHEDRALที่จัดวางรูปปั่นไว้ตามสถานที่ต่างๆภายในบิรเวณ Cathedral ด้วยครับ

ผมเดินจากสถานีรถบัสมุ่งตรงไปยังหอคอยที่เห็นแต่ไกล ระหว่างทางมีร้านค้าเยอะมากเหมือนกับเดินอยู่ในเมืองใหญ่ๆเลยทีเดียวแต่สิ่งที่เป็นจุดสังเกตุอย่างหนึ่งของเมืองนี้ก็คือร้านค้า ร้านอาหารจะถูกจัดวางไว้ในตึกอาคารเก่าๆได้อย่างลงตัว จึงทำให้เมืองนี้ดูมีกลิ่นอายของความเก่าแก่ที่เคล้าผสมอย่างลงตัวกับโลกยุคใหม่และนี้ก็คือหนึ่งเสน่าห์อันน่าหลงไหลของเมืองนี้


จากย่านการค้าในเมืองเดินผ่านประตูเมืองเก่าออกมาไม่กี่สิบเมตรก็จะเจอกับพื้นสนามหญ้า(The green)ที่ล้อมไปด้วยอาคารแบบโบราณที่ถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี ซึ่งอาคารเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ Cathedral close ซึ่งอดีตเคยเป็นอาคารสำนักงาน และบ้านพักของคนที่ทำงานในโบสถ์ วังของท่านบิชอป โรงเรียนและอื่นอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับ Cathedral ถ้าดูจากแผนที่ก็จะเห็นได้ว่า Cathedral close มีพื้นที่กว้างใหญ่มากกินพื้นที่โดยรอบของตัว Cathedral ทำให้นึกภาพของผังเมืองอังกฤษและบรรยายกาศเมื่อหลายร้อยปีก่อนครับ
เลยจากThe Greenไปอีกไม่ไกลก็จะเจอพระเอกของทริปนี้ Salisbury Cathedral จุดเด่นของที่คงหนีไม่พ้นหอคอยหรือ Spire ที่ตั้งสูงเสียดเหยีดขึ้นฟ้าถึง ๑๒๓ เมตร จนต้องแหงนดูคอตั้งบ่า เป็นspireที่สูงที่สุดในอังกฤษเลยนะครับ หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของหอคอยนี้ก็คือหอระฆังนั้นเองครับ เดินผ่านส่วนที่เรียกว่า West front ซึ่งเป็นประตูทางเข้าด้านหน้าและมีรูปแกะสลักของนักบุญต่างๆประดับไว้อย่างสวยงาม รูปสลักเหล่านี้ถูกทำขึ้นมาใหม่หลังจากของเดิมถูกทำลายจากสงครามไปในสงครามโลกครั้งที่สองครับ เดินเลยส่วนนี้ไปก็จะถึงประตูทางเข้าสู่ตัวCathedral ครับ เข้าใจว่าประตูใหญ่ตรงWest front คงจะเปิดใช้ในโอกาสสำคัญๆ ส่วนประตูทางเข้าในเวลาปกติก็จะเป็นประตูเล็กๆถัดมา



พอเดินเข้ามาก็จะพบกับ Cloisterหรือ พื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นพื้นที่พักผ่อนเฉพาะนักบวช โดนเป็นทางเดินเปิดโล่งมีหลังคาสร้างติดกับตัวCathedral เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสตรงกลางมีต้นไม้ใหญ่และสนามหญ้า Cloister ของที่นี้ยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในอังกฤษด้วยครับ และตามปกติแล้ว Cloisterจะถูกสร้างขึ้นบนฐานเดี่ยวกันกับตัวอาคารหลักแต่ที่นี้ถูกสร้างต่อเติมขึ้นภายหลังซึ่งถือว่าแหวกแนวจากของโบสถ์อื่นๆครับ
หลังจากเดินดู Cloister สักพักก็ได้เวลาเข้าไปดูความสวยงามด้านในCathedralแล้วครับ ค่าเข้าชมที่นี้ถือว่าไม่แพงครับ นักเรียนจ่ายแค่ ๔ ปอนด์ (ถ้าจำไม่ผิด) และที่นี้ยังมี tour พิเศษสำหรับคนที่อยากออกกำลังกายโดยการเดินขึ้นไปบนยอดหอคอยที่สูงที่สุดในอังกฤษด้วยครับ ราคาก็จะสูงขึ้นหน่อยแต่ก็คุ้มค่าสำหรับคนชอบภาพมุมสูงนะครับ ส่วนผมไม่ได้กลัวความสูงแต่กลัวการเดินขึ้นที่สูงๆครับ เหนื่อย !!!

ด้านใน Cathedral ตกแต่งด้วยเสาหินออ่นแล้วลวดลายตามแบบโบสถ์ ยุคกลางครับผมรู้สุกว่าที่นี้สวยกว่าวิหารหรือโบสถ์อื่นๆที่ผมเห็นมาในอังกฤษเลยนะครับ จุดสนใจที่พลาดไม่ได้ก็คงจะเป็น นาฬิกาโบราณ(.. ๑๓๘๖)ที่ได้ชื่อว่าเป็นนาฬิกาโบราณเก่าแกที่สุดในโลกที่ยังคงทำงานได้ตามปกติผมเห็นแล้วนึกถึงเครื่องทอผ้าขึ้นมาทันทีเลยครับ


ต่อมาก็เป็น Font หรืออ่างน้ำมนต์ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.. ๒๐๐๘ ออกแบบโดย William Pye เพื่อใช้ในพิธี ศีลจุ่ม ตัวอ่างเป็นรูปถ้ามองจากข้างบนดูเหมือนหัวน๊อตสี่แฉก น้ำจะไหลออกจากปลายทั้งสี่ด้านอย่างต่อเนื่อง มองดูการไหลของน้ำแล้วนับถือคนออกแบบจริงๆครับ คือรู้สึกว่าน้ำไหลลงจากปลายอ่างด้วยความเร็วที่ต่อเนื่องดูแล้วเหมือนมีพลังส่งออกมาจากกระแสน้ำจริงๆในความรู้สึกของผม รู้ได้เลยว่าเขาจงใจออกแบบส่วนปลายเพื่อให้การไหลของน้ำมีความพิเศษจากที่อื่นๆ

จากนั้นผมเดินดูรอบๆครับมีสิ่งที่น่าสนใจอีกเยอะแต่ผมดูผ่านๆเพราะตอนนี้ใจผมอยู่กับ เอกสารสำคัญชิ้นหนึ่งที่ผมเคยเรียนในวิชารัฐธรรมนูญตอนปี๑ที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในห้องถัดไป

เดินออกจากตัวอาคารใหญ่เลี้ยวซ้ายผมก็ได้มายืนตรงประตู้ทางเข้าของ Chapter House ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ ปี ค..๑๒๖๐ ซึ่งเป็นห้องที่มีความสวยงามอีกห้องหนึ่งโดยสร้างให้ตรงกลางมีเสาหินอ่อนสูงรับกับเพดานโดมที่ประดับด้วยลวดลายตามแบบยุคกลางอย่างสวยงามครับ ตรงขอบบนของกำแพงมีรูปสลักภาพคำสอนของศาสนาคริสต์ที่เรียนกว่า The Old Testament ที่ต้องสลักเป็นภาพก็เพราะคนสมัยก่อนอ่านหนังสือไม่ออกครับเลยต้อสอนกันด้วยภาพแบบนี้ ใน Chapter House ห้ามถ่ายรูปครับผมเลยไม่มีรูปมาฝาก

นอกจากความงามใน Chapter House แล้วที่นี้ยังเป็นที่ที่เก็บเอกสารที่สำคัญไว้เป็นอย่างดีครับ ถ้าใครเรียนกฎหมายก็คงจะคุ้นหูกันบ้างนะครับ สำหรับเอกสารที่เป็นบ่อเกิดของวิชา4หน่วยกิตชิ้นนี้ Magna Carta

Magna Carta มีที่มาจากภาษาละติน แปลว่า "กฎบัตรใหญ่" (Great Charter) บางครั้งก็เรียกว่า "กฎบัตรใหญ่แห่งอิสรภาพ แปลเป็นภาษาของเราได้ว่า มหากฎบัตรซึ่งถือได้ว่าเป็นที่มาของกฏหมายรัฐธรรมนูญเลยก็ว่าได้ครับถูกตราขึ้นในปี ค.. ๑๒๑๕ โดยข้อตกลงระหว่าง พระสันตปาปา พระเจ้าจอห์นและคณะขุนนางอังกฤษ เพื่อลดความขัดที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น
ใครนึกไม่ออกลองดูหนังเรื่อง Robin Hood ปี๒๐๑๐ก็ได้ครับมีเรื่องราวเกี่ยวกับMagna Carta อยู่


ติดกับตัวอาคารหลักมีร้านอาหารและร้านค้าของที่ระลึกไว้คอยบริการด้วยครับ ใครสนใจเข้าไปชิมไปชมได้ครับ ร้านขายของที่ระลึกตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆทั่วอังกฤษก็จะมีสิงค้าคล้ายๆกันครับเปลี่ยนแต่โลโก้ เหมือนทำจากโรงงานเดียวกันเลยทีเดียว แต่งานฝีมือบางอย่างก็หาได้เฉพาะที่นะครับ ที่นี้ก็จะเป็น แยม ผ้าปูโต๊ะและ postcard ครับ


นอกจากงานศิลปของคนยุคกลางแล้วช่วงที่ผมไปมีการจัดแสดงงานศิลปรูปปั้นเหมือนคนขนาดใหญ่และเล็กว่าคนจริงแต่ไม่รู้ว่าทำไมไม่มีขนาดเท่าคนจริงๆ รูปปั่นถูกจัดวางไว้ตามถานที่ต่างๆในบริเวณไม่ว่าจะเป็นทางเดิน ทางเข้า ในสวนหรือแม้แต่ภายในวิหารเองก็มีเยอะแล้วจัดวางว้อย่างน่าสนใจ ดูอยู่ไกลๆเหมือนกับคนตัวจริงๆเลย

หลังจากเดินทั่วแล้วก็ได้เวลาอาหารกันแล้วครับผมเลือกที่จะเดินออกไปกินเมื้อเที่ยงร้านข้างนอกเพราะอยากเลือกอาหารแล้วอยากลองชิมรสชาติของร้านอาหารในท้องถิ่น ครับแต่ก็อย่างที่รู้กันครับ อาหารอังกฤษไม่แตกต่างกันเลยไม่ว่าอยู่ที่ไหน และผมคงจะยืนยังอีกครั้งครับว่าอาหารที่อังกฤษมีแต่อาหารจีนกับไทยเท่านั้นที่อร่อย

การมาเที่ยวเมือง Salisbury คงจะมีสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายๆที่นะครับ แต่ด้วยเวลาที่จำกัดผมเลยเที่ยวได้สองที่แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วครับ กับการที่ได้มาเห็นของโบราณที่มีศิลปสัมยใหม่สอดแทรกอยู่ เมืองน่ารักๆและมีเสน่ห์เมืองนี้ Salisbury

นอกจากเที่ยวในเมืองนี้แล้ว ยังมีทัวร์ Stonehenge ไว้คอยบริการที่สถานีรถบัส ไปกลับและเข้าชมใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงจากเมืองนี้ ราคาประมาณ๑๒-๑๒ ปอนด์ต่อคนครับ


Salisbury Cathedral มี Public service ดังนี้ครับ

วันจันทร์ถึงเสาร์
๐๗.๓๐ สวดมนต์เช้าเวลา
๑๗.๓๐ Chral Evensong (การบูชาพระเจ้าโดยการร้องเพลง)

วันอาทิตย์มีกิจกรรมเยอะกว่าครับโดยเริ่มที่
.๐๐ Holy Communion
.๑๕ Mattins
๑๐.๓๐ Sung Euchrist wight Sermon
๑๖.๓๐ Choral Evevsong
ตามลำดับครับ

เผื่อใครจะมาเที่ยวจะหรืออาจจะมาร่วมกิจกรรมของที่นี้ก็ได้นะครับ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามเว็บนี้ครับ
www.salisbury.org.uk